น้ำตาล (sugar) : เพชฌฆาตในมาดของกิน


บทความโดย : นพ.ณัฐดนัย ยอดยิ่งนาคชัยกร
(แพทย์อาชีวเวชศาสตร์)
ว่าด้วยเรื่อง "น้ำตาล"
แล้วควรบริโภคน้ำตาล (sugar)/วัน
ในปริมาณเท่าไหร่?
สำหรับผู้ที่มักบริโภคน้ำตาล (sugar) เกินกำหนดอาจเกิดโรคเหล่านี้ตามมา
“อาหารหวาน ๆ มันชั่งอร่อยเหลือเกิน ถ้าวันไหนไม่ได้ทาน มันจะรู้สึกกระวนกระวาย
เศร้าซึม หรือใช้ชีวิตลำบาก” นี่คงเป็นประโยคในใจของใครหลาย ๆ คนเพราะการที่ได้ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานจากการสังเคราะห์มันทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ร่าเริง และมีความสุขมาก แต่หารู้ไม่ น้ำตาลนี่แหละคือเพชฌฆาตตัวดีที่รอสังหารเราในเวลาที่ร่างกายถึงจุดอิ่มตัว ด้วยโรคภัยนานาชนิดที่พร้อมถาโถมเข้าในเวลาที่ใกล้เคียงกันจนเรานั้นไม่ทันตั้งตัว
น้ำตาล (sugar) นั้นอธิบายสั้น ๆ ว่าคือหน่วยที่เล็กที่สุดของคาร์โบไฮเดรต จะพบได้ตามอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตอย่าง ผัก ผลไม้ ธัญพืช และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนม เป็นต้น แต่อาหารเหล่านี้ล้วนมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเพราะมีทั้ง แร่ธาตุ วิตามิน โปรตีน เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการทานน้ำตาลจากธรรมชาติแบบนี้มักไม่เกิดผลเสียต่อร่างกาย ในปัจจุบันคนไทยเรามักนิยมทานน้ำตาลที่อยู่ในอาหารเช่น เครื่องดื่ม หรือขนม เพราะเป็นรสชาติที่ถูกปากมากกว่า หากแต่น้ำตาลเหล่านี้มักมาจาก น้ำตาลซูโครส(sucrose) หรือน้ำตาลทราย ซึ่งในประเทศไทยสามารถผลิตน้ำตาลชนิดนี้จากการแปรรูปอ้อย หากทานเข้าไปในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) แนะนำให้บริโภคน้ำตาลไม่เกิน
6 ช้อนชา/วัน หรือ 24 กรัม/วัน
1.โรคอ้วน
หลังบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูง ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับมากเกินความต้องการไปสะสมกลายเป็นไขมัน ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจนเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ทั้งนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่าการบริโภคเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลทำให้เกิดการสะสมของไขมันในช่องท้อง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจอีกด้วย
2.เซลล์เสื่อมสภาพ
เทโลเมียร์ (Telomere) เป็นโครงสร้างส่วนปลายสุดของโครโมโซมที่คอยป้องกันการเสื่อมสภาพของโครโมโซม โดยทั่วไปเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น เทโลเมียร์จะหดสั้นลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทั้งนี้ การบริโภคน้ำตาลปริมาณมากเป็นประจำอาจทำให้เทโลเมียร์หดสั้นลงเร็วขึ้น
3.โรคซึมเศร้า
นักวิจัยเชื่อว่าภาวะน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ มีส่วนทำให้ระดับสารสื่อประสาทในสมองที่ผิดปกติ และการอักเสบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต
4.โรคเบาหวาน
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนที่เป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคเบาหวานตามมาได้แล้วหากบริโภคน้ำตาลมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินด้วย ซึ่งอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
5.ไขมันพอกตับ
น้ำตาลฟรุกโตสเป็นน้ำตาลที่ผู้ผลิตมักเติมลงไปในเครื่องดื่ม ซึ่งแตกต่างจากน้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลชนิดอื่น ๆ ซึ่งฟรุกโตสส่วนหนึ่งจะถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน แต่อีกส่วนหนึ่งจะสะสมเป็นไกลโคเจนหรือไขมันพอกอยู่ที่ตับ หากมีการสะสมดังกล่าวในปริมาณมากก็อาจก่อให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้
6.โรคหัวใจ
งานวิจัยพบว่าการกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงอาจก่อให้เกิดโรคอ้วน ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
7.โรคมะเร็ง
การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเติมน้ำตาลอาจก่อให้เกิดโรคอ้วน ภาวะดื้ออินซูลิน และการอักเสบตามอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย มีงานวิจัยหนึ่งศึกษาความเกี่ยวข้องระหว่างการบริโภคน้ำตาลกับการเกิดโรคมะเร็งในกลุ่มตัวอย่าง 430,000 ราย พบว่าการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งเยื่อหุ้มปอด และมะเร็งลำไส้เล็ก อย่างไรก็ตาม งานค้นคว้าในประเด็นนี้ยังมีอยู่ค่อนข้างน้อย
จึงจำเป็นต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป
นอกจากปัญหาสุขภาพข้างต้น การบริโภคน้ำตาลปริมาณมากเป็นประจำอาจไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคไต โรคเก๊าท์ โรคเหงือกและฟัน สมองเสื่อม เป็นต้น ดังนั้น การบริโภคน้ำตาล (sugar) ในปริมาณมากเกินไปในทุก ๆ วันนั้น จึงไม่เหมาะอย่างยิ่งเราอาจจะรู้สึกดีในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อถึงเวลา อาการหรือโรคที่ได้กล่าวมานั้น มันจะก่อตัวขึ้นในร่างกายเรา ความทุกข์ใจหลังจากนั้นจะตามมาและหากโชคไม่เข้าข้างเราโรคเหล่านั้นมันอาจจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตหรือไม่ก็คร่าชีวิตเราในระยะเวลาอันสั้น เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่มีใครช่วยเราได้ และทางรับมือที่ดีที่สุดนอกจากการควบคุมอาหาร กินผักผลไม้ และออกกำลังกายแล้วคือการกำชับตัวเองให้ตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อดูระดับค่าน้ำตาลในร่างกาย หากสูงเกินกำหนดเราจะได้ปรับตัวปรับการบริโภคน้ำตาลได้ทัน ก่อนที่เวลาแห่งความเลวร้ายนั้นจะมาถึงนั้น เราสามารถหยุดมันได้
